กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ ระหว่างวันที่ 8 – 26 มีนาคม 2564 และตรวจสอบสถานะแล้ว พบว่า ผ่านเกณฑ์การคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชน โดยยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า Facial Recognition ซึ่งจะสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าว จะได้รับวงเงินสิทธิ์จำนวน 7,000 บาท และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านผู้ประกอบการร้านค้า หรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการ ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการ ณ วันที่ 9 เมษายน 2564 ดังนี้
1. ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 72,289 ล้านบาท
2. ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้น และยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสม ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 109,289 ล้านบาท
3. ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 12,036 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 193,614 ล้านบาท
ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า และผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง ได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริต ของผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ให้บริการ ที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงประชาชน ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น